ads by google

วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567

ขั้นตอนในการสร้างตัวอสุจิและการหลั่งน้ำอสุจิ



               เริ่มจากหลอดสร้างตัวอสุจิ ซึ่งอยู่ภายในอัณฑะสร้างตัวอสุจิออกมา จากนั้นตัวอสุจิจะถูกนำไปพักไว้ที่หลอดเก็บอสุจิก่อนจะถูกลำเลียงผ่านไปตามหลอดนำตัวอสุจิ เพื่อนำตัวอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิรอการหลั่งออกสู่ภายนอก ต่อมลูกหมากจะหลั่งสารเข้าผสมกับน้ำเลี้ยงอสุจิเพื่อปรับสภาพให้เหมาะสมกับตัวอสุจิก่อนที่จะหลั่งน้ำอสุจิออกสู่ภายนอกทางท่อปัสสาวะโดยปกติเพศชายจะเริ่มสร้างตัวอสุจิได้เมื่ออายุประมาณ 12 - 13 ปี และจะสร้างไปจนตลอดชีวิต ส่วนการหลั่งน้ำอสุจิในแต่ละครั้งจะมีของเหลวออกมาเฉลี่ยประมาณ 3 - 4 ลูกบาศก์เซนติเมตรและมีตัวอสุจิเฉลี่ยประมาณ 350 - 500 ล้านตัว สำหรับชายที่เป็นหมันจะมีตัวอสุจิน้อยกว่า 30 - 50 ล้านตัว ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร หรือมีตัวอสุจิที่ผิดปกติมากกว่าร้อยละ 25  ตัวอสุจิที่หลั่งออกมาจะเคลื่อนที่ได้ประมาณ 3 - 4 มิลลิเมตรต่อนาที และมีชีวิตอยู่นอกร่างกายได้ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่จะมีชีวิตอยู่ในมดลูกของเพศหญิงได้นานประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง

องคชาติ


  • ลักษณะเป็นท่อนยาว อยู่ภายนอกร่างกายของเพศชาย ตรงบริเวณหัวหน่าว ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของปัสสาวะและน้ำอสุจิ ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อชนิดฟองน้ำ 1 คู่ และท่อปัสสาวะบางส่วน
  • เนื้อเยื่อชนิดฟองน้ำทำหน้าที่ในการกักเก็บเลือด เมื่อมีอารมณ์ทางเพศ ทำให้เกิดการแข็งตัวขององคชาต เพื่อให้สามารถสอดใส่เข้าไปภายในช่องคลอดของเพศหญิง ที่ปลายองคชาติเป็นจุดรวมของเส้นประสาทซึ่งไวต่อการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ เทียบได้กับคลิตอริสของเพศหญิง


อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย 1. อัณฑะ, 2. เอพิดิไดมิส, 3. คอร์ปัส คาร์เวอร์โนซา, 4. หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย, 5. เส้นสองสลึง, 6. รูเปิดท่อปัสสาวะ , 7. ส่วนหัวอวัยวะเพศ, 8.คอร์ปัส สปองจิโอซัม, 9. องคชาต, 10. ถุงอัณฑะ
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C

การคลอด


การคลอดแบ่งได้กี่ระยะ

เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพื่อขับเด็กรก และน้ำคร่ำ ออกจากโพรงมดลูกมาสู่ภายนอกเมื่อครบกำหนด โดยต่อมใต้สมองกลีบหลังจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งไปกระตุ้นให้มดลูกมีการบีบรัดตัวอย่างสม่ำเสมอและถี่ขึ้น เพื่อที่จะดัดศีรษะของทารกในครรภ์ให้ลงไปอุ้งเชิงกรานมากขึ้น ในขณะเดียวกันถุงน้ำคร่ำและศีรษะทารกในครรภ์จะช่วยทำให้ปากมดลูกขยายตัวมีมูกเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการอย่างหนึ่งที่บอกให้รู้ว่า เริ่มเข้าสู่ระยะเจ็บครรภ์แล้ว

การคลอดแบ่งออกเป็น ๓ ระยะด้วยกัน คือ

ระยะที่ ๑ เป็นระยะการเปิดขยายของปากมดลูก เริ่มตั้งแต่เจ็บครรภ์จริง ปากมดลูกเริ่มเปิดเมื่อปากมดลูกเปิดเต็มที่ ระยะนี้จะสิ้นสุดลงโดยใช้เวลาประมาณ ๘-๑๒ ชั่วโมงในครรภ์แรก และ ๖-๘ ชั่วโมงในครรภ์หลัง


ระยะที่ ๒ เป็นระยะที่ทารกในครรภ์ถูกขับออกจากโพรงมดลูก เริ่มตั้งแต่ปากมดลูกเปิดเต็มที่จนทารกคลอดออกมาทั้งตัว ขณะที่ทารกเคลื่อนลงต่ำกดเบียดทวารหนัก ทำให้รู้สึกอยากเบ่งอุจจาระที่เรียกว่า "มีลมเบ่ง" ระยะนี้เป็นระยะที่มีกลไกของการคลอดเกิดขึ้น ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงในครรภ์แรก และ ๑ ชั่วโมงในครรภ์หลัง

ระยะที่ ๓ เริ่มตั้งแต่ทารกคลอดแล้วไปจนกระทั่งรกคลอด ใช้เวลาไม่เกิน ๓๐ นาที ไม่ว่าจะเป็นครรภ์แรกหรือครรภ์หลัง ๆ



การคลอดที่กล่าวมาแล้วนั้น ถือว่าเป็นการคลอดปกติ ส่วนการคลอดที่ผิดปกติ ได้แก่



๑. การใช้เครื่องมือช่วยคลอด

ถ้าระยะที่ ๒ ของการคลอดไม่เป็นไปตามปกติ เช่น มดลูกบีบรัดตัวไม่ดี แรงเบ่งไม่ดี หรือแม่มีโรคบางอย่างที่ไม่สมควรให้เบ่งนาน ๆ เพราะจะเกิดอันตรายได้ต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอด เครื่องมือที่ใช้มี ๒ ชนิด คือเครื่องสูญญากาศดูดศีรษะทารก และคีมจับศีรษะทารก ซึ่งถ้าแพทย์ใช้อย่างถูกต้องจะไม่มีอันตรายต่อทารก แต่จะมีประโยชน์ เพราะศีรษะทารกไม่ถูกกดบีบอยู่ในทางคลอดนาน และช่วยให้แม่ไม่ต้องเบ่งมากอันจะเป็นอันตรายต่อทารก


๒. การผ่าท้องคลอด

หมายถึงการผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้องแทนการคลอดทางช่องคลอดอย่างปกติ จะกระทำต่อเมื่อแพทย์เห็นว่า ทารกไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ เช่น ขนาดของทารกกับช่องเชิงกรานไม่ได้สัดส่วนกัน รกเกาะต่ำ หรือทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เป็นต้น หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่จำเป็นต้องรีบผ่าตัดเอาทารกออก มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อมารดาและทารกในท้อง เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะพิษแห่งครรภ์ เป็นต้น การผ่าท้องคลอดนี้อาจทำก่อนเจ็บท้อง หรือขณะเจ็บท้องก็ได้ สุดแต่ข้อบ่งชี้ในการทำผ่าตัด






ขอบคุณข้อมูลจาก    kanchanapisek

ระบบสืบพันธุ์


ระบบสืบพันธุ์เพศชาย

            ระบบสืบพันธุ์เพศชาย ประกอบด้วย 

            1. อัณฑะ (Testis) มี 2 ข้าง ทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย และสร้างฮอร์โมนเพศชายที่ใช้ควบคุมลักษณะต่างๆ ของเพศชาย เช่น เสียงห้าว มีหนวดเครา มีขนหน้าแข้ง ภายในอัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างอสุจิ (Seminiferous Tubule) มีลักษณะเป็นท่อขดเรียงกัน ทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิ ตัวอสุจิมีจำนวนโครโมโซมครึ่งหนึ่ง (23 เส้น) ของเซลล์ร่างกาย (46 เส้น) หลอดสร้างตัวอสุจิจะมีข้างละประมาณ 800 หลอด แต่ละหลอดมีขนาดเท่าเส้นด้าย ยาวทั้งหมดประมาณ 800 เมตร อัณฑะทั้งสองข้างบรรจุอยู่ในถุงอัณฑะ (Scrotum) ซึ่งทำหน้าที่ปรับอุณหภูมิให้ต่ำกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส เพื่อให้เหมาะสมในการสร้างตัวอสุจิ
            2. หลอดเก็บตัวอสุจิ (Epididymis) อยู่ด้านบนของอัณฑะ ทำหน้าที่เก็บตัวอสุจิจนตัวอสุจิแข็งแรงพร้อมที่จะปฏิสนธิ
            3. ท่อนำตัวอสุจิ (Vas Deferens) อยู่ต่อจากหลอดเก็บตัวอสุจิ ทำหน้าที่ลำเลียงตัวอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ
            4. ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ (Seminal Vesicle) ทำหน้าที่สร้างอาหารมาเลี้ยงตัวอสุจิ ได้แก่ น้ำตาลฟรักโทส วิตามินซี โปรตีนโกลบูลิน และสร้างของเหลวเพื่อทำให้เกิดสภาพที่เหมาะสมกับตัวอสุจิ
            5. ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) อยู่ตอนต้นของท่อปัสสาวะ ทำหน้าที่สร้างสารที่เป็นเบสอย่างอ่อนเพื่อผสมกับน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ เป็นการลดความเป็นกรดในท่อปัสสาวะ ช่วยให้ตัวอสุจิเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น
            6. ต่อมคาวเปอร์ (Cowper’s Gland) อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก ทำหน้าที่สร้างเมือกหล่อลื่นในท่อปัสสาวะ เพื่อให้ตัวอสุจิเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น
            โดยทั่วไปเพศชายจะเริ่มสร้างตัวอสุจิเมื่ออายุ 12-13 ปี และจะสร้างไปตลอดชีวิต การหลั่งน้ำอสุจิออกมาแต่ละครั้งจะมีของเหลวประมาณ 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีตัวอสุจิเฉลี่ยประมาณ 350-500 ล้านตัว น้ำอสุจิจะถูกขับออกทางท่อปัสสาวะ และออกจากร่างกายตรงปลายสุดของอวัยวะเพศ ตัวอสุจิเมื่อออกสู่ภายนอกจะมีชีวิตได้เพียง 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าอยู่ในมดลูกของเพศหญิงจะอยู่ได้นานประมาณ 24-48 ชั่วโมง เพศชายที่มีปริมาณอสุจิน้อยกว่า 30-50 ล้านตัวต่อ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือมีตัวอสุจิที่ผิดปกติมากกว่าร้อยละ 25 จัดว่าเป็นหมัน
            ตัวอสุจิมีส่วนประกอบอยู่ 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนตัว และส่วนหาง ซึ่งทำให้ตัวอสุจิเคลื่อนที่ได้ ขนาดของตัวอสุจิเล็กมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู
 

ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง

            ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ประกอบด้วย
 

            1. รังไข่ (Ovary) มี 2 ข้าง อยู่คนละข้างของมดลูก มีขนาดเท่ากับหัวแม่มือ ลักษณะคล้ายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีน้ำหนักประมาณ 2-3 กรัม รังไข่มีหน้าที่ดังนี้
                 1.1 สร้างไข่ ไข่เป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียจะสุกและตกออกมาประมาณกึ่งกลางของรอบเดือน เรียกว่า การตกไข่ ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกเดือน เดือนละ 1 เซลล์ โดยสลับกันระหว่างรังไข่ด้านขวากับรังไข่ด้านซ้าย ไข่ที่ตกออกมาจากรังไข่จะมีชีวิตอยู่ประมาณ 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง ไข่จะมีจำนวนโครโมโซมครึ่งหนึ่งของเซลล์ร่างกาย
                 1.2 สร้างฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ - เอสโทรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการพัฒนามดลูก ช่องคลอด ต่อมน้ำนม และลักษณะของเพศหญิงอื่นๆ เช่น เสียงแหลมเล็ก สะโพกผาย - โพรเจสเทอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนที่ทำงานร่วมกับเอสโทรเจนเกี่ยวกับความเจริญของมดลูก และการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุมดลูกเพื่อเตรียมรับไข่ที่ผสมแล้ว
            2. ปีกมดลูกหรือท่อนำไข่ (Oviduct) เป็นทางเดินของไข่มายังมดลูก ท่อนำไข่มีขนาดปกติเท่ากับเข็มถักไหมพรมยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร
            3. มดลูก (Uterus) เป็นที่ฝังตัวของไข่หลังการปฏิสนธิแล้ว เรียกว่า “เอ็มบริโอ” และเจริญเติบโตเป็นทารกต่อไป มดลูกมีรูปร่างคล้ายผลชมพู่ ยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4 เซนติเมตร และมีผนังหนาประมาณ 2 เซนติเมตร
            4. ช่องคลอด เป็นทางเดินให้ตัวอสุจิเข้าสู่มดลูกและปีกมดลูก ให้ทารกคลอดออกมา และเป็นช่องที่ประจำเดือนออกสู่ภายนอกร่างกาย 

ที่มา ebook on maceducation.com/e-knowledge/2504209100/03.htm

การตั้งครรภ์ (Pregnancy)


การตั้งครรภ์ (Pregnancy)

เมื่อไข่ (ova) ในรังไข่ของผู้หญิงข้างใดข้างหนึ่งสุก จากการกระตุ้นของฮอร์โมนกระตุ้น ไข่สุก Follicle Stimulating Hormone (FSH) จะมีการตกไข่ในช่วงประมาณครึ่งของรอบเดือน ไข่จะเดินทางจากท่อนำไข่ไปถึงมดลูกจะใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน แต่ไข่จะเหมาะสมต่อการปฏิสนธิกับอสุจิในช่วงเวลา 1 วันแรกของการตกไข่ (Moore, 1982) ถ้าอสุจิไม่ผสมกับไข่ในเวลานี้ ไข่จะสุกมากเกินไปและจะสลายไปเมื่อถึงมดลูก พร้อมกับมีการหลุดลอกของผนังชั้นในมดลูกกลายเป็นประจำเดือนออกมาทางช่องคลอด

ผู้ชายจะหลั่งอสุจิออกมาขณะร่วมเพศจนถึงจุดสุดยอด (orgasm) ครั้งละประมาณ 200-300 ล้านตัว อสุจิจะผ่านช่องคลอดและปากมดลูก เข้าสู่มดลูก (uterus) และไปสู่ท่อนำไข่ ซึ่ง เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างไกลและต้องผ่านอุปสรรค อสุจิบางตัวอาจเมื่อยล้าก่อนเดินทางไปถึง ท่อนำไข่ บางตัวอาจหมดแรงและตายเนื่องจากภาวะกรดของช่องคลอด จะเหลืออสุจิเพียง 2,000-3,000 ตัว ที่สามารถเดินทางถึงท่อนำไข่ และจะมีไม่ถึง 50 ตัวที่สามารถเดินทางถึงไข่ที่เคลื่อนมาตามท่อนำไข่ (Moore, 1982) อสุจิส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ภายในอวัยวะเพศหญิงได้เพียง 3 วัน แต่มีจำนวนน้อยที่อาจอยู่นานถึง 5 วัน (Wilcox และคณะ, 1995) เมื่ออสุจิพบกับไข่ อสุจิจะหลั่งเอนไซม์ออกมาและเจาะเข้าไปในไข่เกิดการปฏิสนธิ (conception) ภายใน 24-30 ชั่วโมง นิวเคลียสของอสุจิและไข่จะรวมตัวกันกลายเป็นเซลล์เดียวกันเรียกว่า ไซโกต (zygote) ทำให้เกิดรหัสยีนส์ของมนุษย์คนใหม่เกิดขึ้น

หลังจากนั้นไซโกตจะแบ่งตัวออกเป็น 2, 4 และ 8 เซลล์ และจำนวนเซลล์จะทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ขณะที่เซลล์มีการแบ่งตัวนั้นขนาดของเซลล์จะเล็กลง เซลล์เหล่านี้รวมตัวกันเรียกว่า มอรูล่า (morula) เมื่อรวมกันได้ประมาณ 100 เซลล์ ที่ศูนย์กลางของเซลล์จะมีช่องว่างที่มีน้ำบรรจุอยู่เรียกว่า บลาสโตซิส (blastocyst) และเมื่อบลาสโตซิสเคลื่อนตัวมาถึงมดลูกบลาสโตซิสก็อาจจะลอยตัวอยู่ได้หลายวัน ในระยะนี้จะมีขนาดเล็กกว่าหัวเข็มหมุด โดยปกติการฝังตัวของ บลาสโตซิสจะเสร็จสิ้นภายใน 14 วันหลังจากการปฏิสนธิ และบลาสโตซิสที่ฝังตัวแล้วจะเรียกว่า ตัวอ่อน หรือเอ็มบริโอ (embryo) และจะเรียกว่าทารกในครรภ์ หรือฟีตัส (fetus) เมื่ออายุ 8 สัปดาห์

ระยะการตั้งครรภ์ใช้เวลาประมาณ 260-270 วัน หรือประมาณ 9 เดือน เป็นระยะที่ทารกในครรภ์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะทางด้านร่างกาย ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ ไตรมาสแรก ไตรมาสที่สองและไตรมาสที่สาม ดังรายละเอียดดังนี้

ระยะไตรมาสแรก (The first trimester)

เมื่อประจำเดือนขาดหายไป ผู้หญิงมักอยากจะทราบข้อมูลโดยเร็วว่าตนเองตั้งครรภ์หรือไม่ จึงต้องมีการตรวจการตั้งครรภ์ (pregnancy test) ซึ่งมักจะตรวจโดยแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ หรืออาจจะซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์ได้จากร้านขายยาและนำไปตรวจที่บ้านได้ การตรวจการตั้งครรภ์เป็นการตรวจหาฮอร์โมนที่หลั่งโดยรก เรียกว่า human chorionic gonadotropin หรือ HCG ซึ่งจะตรวจพบจากปัสสาวะได้ ผลการตรวจการตั้งครรภ์นี้จะให้ผลถูกต้องแน่นอน (ร้อยละ 95-98) ก็ต่อเมื่อขาดประจำเดือนประมาณ 2 สัปดาห์ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ระดับฮอร์โมน HCG ในเลือดตรวจพบได้เร็วกว่าในปัสสาวะ (King, 1999)

อาการที่พบได้โดยทั่วไปของการตั้งครรภ์ในระยะนี้คืออาการคลื่นไส้ (nausea) ซึ่งเรียกว่า แพ้ท้อง หรือมอร์นิ่งซิคเนส (morning sickness) ร้อยละ 70 ของผู้หญิงตั้งครรภ์เคยมีอาการแพ้ท้อง ตั้งแต่อาการเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยทั่วไปจะเริ่มประมาณสัปดาห์ที่ 4-6 หลังจากการปฏิสนธิ และจะมีอาการมากที่สุดประมาณสัปดาห์ที่ 8-12 และจะหายไปประมาณสัปดาห์ที่ 20 เชื่อกันว่าการที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นอาจเป็นสาเหตุของการแพ้ท้อง แต่ยังไม่มีการยืนยันถึงสาเหตุที่ชัดเจนแน่นอน (Deuchar, 1995) นอกจากนั้น ยังพบว่าสามีหรือแฟนของหญิงตั้งครรภ์จำนวนมากที่มีอาการคล้ายการตั้งครรภ์ ซึ่งเรียกว่า ซิมพาธีเพ็น (sympathy pains) หรือทางการแพทย์เรียกว่า เคาเว็ดซินโดรม (couvade syndrome) (King, 1999)

อาการอื่นๆ ของการตั้งครรภ์ในระยะสามเดือนแรกนี้ ได้แก่ เต้านมขยายใหญ่และคัดตึง พบเส้นเลือดดำได้ชัดเจนที่เต้านม วงรอบหัวนมคล้ำมากขึ้น หัวนมขยายใหญ่ ปัสสาวะบ่อย และมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ไม่เป็นปกติ นอกจากนั้นยังรู้สึกเหนื่อยง่าย ระยะนี้จะมีพัฒนาการที่สำคัญเกิดขึ้น เมื่อบลาสโตซิสฝังตัวที่ผนังมดลูกแล้วจะเรียกว่า เอ็มบริโอ (embryo) จะมีการแบ่งเซลล์และมีการเจริญเติบโตที่เป็นลำดับ มักจะเกิดจากด้านหัวลงไปเท้า หรือจากหัวถึงหาง (cephalo-caudal, head to tail, development) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เยื่อบุชั้นนอกของบลาสโตซิส จะกลายเป็นส่วนที่ช่วยเกี่ยวกับสารอาหารและการป้องกันอันตราย ส่วนเยื่อบุชั้นในทั้งสามชั้นจะพัฒนาเป็นอวัยวะของร่างกาย เช่น ชั้นนอก (ectoderm) จะพัฒนาเป็นระบบประสาท ผิวหนัง และฟัน ชั้นกลาง (mesoderm) จะพัฒนาเป็นกล้ามเนื้อ กระดูกและเส้นเลือด ส่วนชั้นใน (endoderm) พัฒนาเป็นอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ และระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น

ในสัปดาห์ที่สามของการตั้งครรภ์นี้ โครงสร้างส่วนกลาง ซึ่งเรียกว่า ท่อประสาท (neural tube) จะปรากฏชัดเจน ส่วนนี้จะกลายเป็นระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) สัปดาห์ที่สี่จะมีการก่อตัวของสายรก หัวใจและระบบทางเดินอาหาร ในสัปดาห์ที่หกจะพบว่าเอ็มบริโอมีหางซึ่งเป็นปลายของปุ่มกระดูก ในสัปดาห์ที่ 8 เอ็มบริโอจะมีความยาวเพียง 1.2 นิ้ว ซึ่งเป็นระยะที่อวัยวะทุกส่วนเริ่มพัฒนา หัวใจจะเต้น และกระเพาะอาหารจะเริ่มผลิตน้ำย่อย ส่วนตั้งแต่ระยะหลัง 8 สัปดาห์ไปจนคลอดนั้นจะเรียกว่า ทารกในครรภ์ หรือฟีตัส (fetus) (King, 1999)

ระยะไตรมาสที่สอง (The second trimester)

เดือนที่สี่และห้าของการตั้งครรภ์ มารดาจะรู้สึกว่าทารกในครรภ์เคลื่อนไหว ประสบการณ์ครั้งแรกของการเคลื่อนไหวเรียกว่า ลูกดิ้น หรือคิกเค้นนิ่ง (quickening) เมื่อผู้หญิงเริ่มรู้สึกว่ามีชีวิตน้อยๆ เคลื่อนไหวอยู่ภายในครรภ์ตนเอง ทารกในครรภ์จะถูกมองว่าเป็นบุคลคนหนึ่ง และความผูกพันทางด้านอารมณ์ของมารดาต่อทารกในครรภ์จะเริ่มพัฒนาขึ้นในช่วงนี้ ส่วนทารกในครรภ์จะเริ่มมีการเคลื่อนไหวทางปากด้วยการดูด สัปดาห์ที่ห้าจะตรวจพบการเต้นของหัวใจ ทารกในครรภ์จะเปิดตา ดูดนิ้วและตอบสนองต่อแสง ในระยะปลายของไตรมาสที่สองนี้ ทารกในครรภ์จะยาวประมาณ 12 นิ้ว และหนักประมาณ 1 ปอนด์ หรือ 453 กรัม (King, 1999)

ระยะไตรมาสที่สาม (The third trimester)

ในระยะนี้หญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกลำบาก ไม่ว่าจะเดิน นั่ง หรือนอน จึงมักจะเรียนรู้หาวิธีใหม่ๆในการนั่งหรือลุกจากเก้าอี้ และมักจะปวดหลังเนื่องจากต้องอุ้มน้ำหนักของทารกไว้ข้างหน้าทำให้จุดศูนย์ถ่วงเปลี่ยนแปลงไป มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจะไปเพิ่มแรงกดที่กระเพาะปัสสาวะและกระเพาะอาหาร ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย อาจเกิดอาการแสบท้อง มีลมในกระเพาะและท้องผูกบ่อย การดิ้นของทารกอาจทำให้นอนหลับได้ลำบาก

ในปลายสัปดาห์ที่เจ็ดของการตั้งครรภ์ ทารกจะยาวประมาณ 15 นิ้ว และหนักประมาณ 680 กรัม เริ่มมีเนื้อเยื่อไขมันสะสมที่ใต้ผิวหนัง ในสัปดาห์ที่แปดน้ำหนักทารกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่แปด ทารกจะมีน้ำหนักประมาณ 4 ปอนด์ หรือ 1,800 กรัม และในสัปดาห์ที่เก้าทารกอาจยาวถึง 50 เซนติเมตร และหนักถึง 3170 กรัม (King, 1999)